วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประวัติความเป็นมาของตัวอักษร

ประวัติความเป็นมาของตัวอักษร
        ตัวอักษรมนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้นตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ตัวอักษรสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อทางการติดต่อ ตัวอักษรสมัยโบราณส่วนมากจะวิวัฒนาการมาจากภาพ เช่น อักษรของอียิปต์ ชื่อว่าอักษรไฮเออโรกลิฟิค (Hieroglyphic) ประมาณ 6,000 ปีล่วงมาแล้ว ยังมีอักษรที่เรียกว่า “อักษรลิ่ม” (Cuneiform) ของชาวซูเมอร์เรียน ซึ่งมีความเก่าแก่เท่า ๆ กันกับอักษรของอียิปต์โบราณ ระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ในทวีปเอเซีย ประเทศจีน และอินเดีย ก็ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้

        ตัวอักษรที่เป็นสากลส่วนมากใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ต้นตระกูลของอักษรภาษาอังกฤษ คือ อักษรโฟนิเซีย ซึ่งแพร่หลายอย่างกว้างขวางในยุโรป ประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสต์กาล ชาวกรีกได้นำไปใช้เป็นหลักการเขียนตัวอักษร แล้วนำไปสู่พวกโรมันแก้ไขปรับปรุงจนกลายเป็นอักษรภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน


        การประดิษฐ์ตัวอักษรของไทย เริ่มในสมัยสุโขทัย เมื่อปี พ.ศ. 1826  โดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงดัดแปลงมาจากอักษรของขอมและอักษรมอญโบราณ นำมาประดิษฐ์ใหม่เป็นตัวอักษรของชาติไทย ระยะแรกพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ เรียงแถวกันในบรรทัดเดียวกัน ต่อมาได้เปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม ซึ่งบางตัวอยู่ข้างล่าง ข้างบน ข้างหน้า และข้างหลัง ดังปรากฏที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

ลักษณะของตัวอักษรไทย แบ่งได้เป็น 4 รูปแบบ คือ
          1.  รูปแบบทางราชการ ได้แก่ ตัวอักษรที่มีลักษณะแบบเรียบ ๆ อ่านง่าย นิยมใช้กันมากโดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับทางราชการ องค์การต่าง ๆ ใช้ในการพิมพ์หนังสือเรียน เป็นแบบที่เรียบร้อยแสดงถึงความเป็นระเบียบแบบแผนของความเป็นไทย  ลักษณะของตัวอักษรจะเป็นหัวกลม
          2. รูปแบบอาลักษณ์   หมายถึง แบบตัวอักษรที่ใช้ในราชสำนักมาแต่โบราณ นับแต่พระบรมราชโองการ เอกสารทางราชการ หรือการจารึกเอกสารสำคัญ เช่นรัฐธรรมนูญ งานเกียรติยศต่าง ๆ
          3.  รูปแบบสมเด็จกรมพระนริศฯ  หมายถึง  ลักษณะตัวอักษรที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้คิดรูปแบบขึ้น ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมาก เพราะเป็นแบบที่ใช้เขียนได้อย่างรวดเร็ว สะดวก และเหมาะสมกับการเขียนด้วยปากกา สปีดบอลล์ พู่กันแบน และสีเมจิกชนิดปลายตัด หรือที่เรียกว่า อักษรหัวตัด
         4.  รูปแบบประดิษฐ์   หมายถึง รูปแบบตัวอักษรที่เกิดจากการออกแบบสร้างสรรค์เพื่อนำไปใช้ให้เหมาะสมกับงานประเภทต่าง ๆ เช่น งานออกแบบโฆษณา หัวเรื่องหนังสือ ฯลฯ ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบเหลี่ยม แบบวงกลม แบบโค้ง และแบบอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

อุบายของคนโบราณ

โบราณอุบาย

        ความคิดของคนโบราณบางครั้งดูเหมือนเป็นการงมงาย ไร้เหตุผล แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว ในความคิดและความเชื่อโดยเฉพาะข้อห้ามต่าง ๆ นั้นมีเหตุผลที่น่าสนใจทีเดียว เพียงแต่ในอดีตสังคมเรามีความเชื่อในเรื่องภูตผีและไสยศาสตร์ คนโบราณจึงได้นำความเชื่อจุดนี้มาสั่งสอนลูกหลานให้เชื่อฟัง
         โบราณอุบาย : การวิเคราะห์ภูมิปัญหาไทยในความเชื่อ ของ ร.ศ.สนม ครุฑเมือง เป็นผลงานทางวิชาการชิ้นหนึ่งที่เล็งเห็นความสำคัญของความคิดคนไทยสมัยอดีตที่รู้จักการแก้ปัญหานานาประการอย่างลึกซึ้งและน่าสนใจ จึงนำมาแบ่งปันให้สมาชิกสภาอาจารย์ได้อ่านกันดูค่ะว่า ความเชื่อหรือข้อห้ามต่อไปนี้เคยมีผู้ใหญ่ห้ามเราบ้างหรือเปล่า

        ห้ามก้มมองลอดขาตัวเอง        ความเชื่อ ไม่ให้ก้มมองลอดขาตัวเอง เพราะเชื่อว่าจะทำให้เห็นผี
        เจตนา การก้มมองลอดขาทำให้เวียนศีรษะ หน้ามืด อาจหกล้มศีรษะกระแทกพื้นเป็นอันตรายได้ หรืออาจเจ็บหลังและเอวได้ เพราะต้องก้มมาก

       ห้ามกวาดบ้านเวลากลางคืน       ความเชื่อ ไม่ให้กวาดบ้านเวลากลางคืน เพราะเชื่อว่าจะเป็นอัปมงคล
        เจตนา เวลากลางคืนจะมืดมองเห็นไม่ชัด ทำให้กวาดบ้านไม่สะอาด และอาจจะกวาดข้าวของที่มีขนาดเล็กหรือของมีค่าหล่นหายไป

       ห้ามกินกล้วยแฝด       ความเชื่อ ไม่ให้ผู้หญิงกินกล้วยแฝด เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีลูกแฝด
       เจตนา ให้รู้จักประมาณในการกิน โดยเฉพาะกล้วย หากกินมากเกินไปอาจทำให้ท้องอืด หรือคนมีครรภ์กินกล้วยมากเกินไป ลูกในท้องจะตัวใหญ่ทำให้คลอดลำบาก

       ห้ามขอดตุ่มข้าวสาร       ความเชื่อ จะทำให้กลายเป็นคนตกยากในอนาคต
       เจตนา เกรงว่าจะรบกวนผู้อื่น เนื่องจากการตักข้าวสารที่ใกล้จะหมดแล้วทำให้ภาชนะที่ใช้ตักครูดกับตุ่มที่ใช้ใส่ข้าวสาร ทำให้เกิดเสียงดังน่ารำคาญ

       ห้ามขึ้นบ้านใหม่วันเสาร์ เผาผีวันศุกร์ โกนจุกวันอังคาร แต่งงานวันพุธ       ความเชื่อ กระทำแล้วจะประสบแต่สิ่งไม่ดีในชีวิต
       เจตนา เพื่อให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกาลเทศะที่เคยประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันมา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสบายใจ โดยมีความเชื่อว่าวันเสาร์เป็นวันที่ไม่สมควรทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ เพราะดาวเสาร์เป็นเทพเจ้าแห่งความทุกข์ ฉะนั้นจึงไม่สมควรจัดพิธีการใดในวันเสาร์ วันศุกร์เป็นวันที่โบราณห้ามทำการเผาศพ เพราะถือกันว่า ปลงศพวันศุกร์ให้ทุกข์กับคนเป็น ทางโหราศาสตร์นั้น ดาวศุกร์จัดไว้ให้เทพยดาแห่งความสมบูรณ์พูนสุข จึงไม่สมควรกระทำพิธีให้เกิดความเศร้าโศก วันอังคารเป็นวันที่ชาวบ้านจะไม่ประกอบพิธีโกนจุก เพราะเหตุที่ว่าดาวอังคารเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เหี้ยมโหด เชื่อว่าถ้าประกอบพิธีมงคลอาจทำให้มีอุปสรรคนานาประการ วันพุธห้ามประกอบพิธีสมรส เพราะดาวพุธเป็นเทพเจ้าที่ปรวนแปร หาความแน่นอนมิได้ จึงไม่ควรจัดพิธีมงคลสมเพราะต้องการความมั่นคงยั่งยืน รวมความแล้วมีวัตถุประสงค์ต้องการให้เป็นขวัญกำลังใจ และเป็นมงคลต่อชีวิตของผู้ปฏิบัติตาม

        ห้ามคนมีครรภ์เข้าโบสถ์ตอนทำพิธีบวชพระ        ความเชื่อ จะทำให้คลอดลูกยาก
        เจตนา คนมีครรภ์จะนั่งนานไม่ได้เพราะปวดเมื่อยได้ง่าย ในช่วงที่ทำพิธีต้องใช้เวลานานและต้องการความสงบ คนมีครรภ์อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย

       ห้ามถอดแหวนหรือกำไลจากมือผู้อื่น       ความเชื่อ จะแย่งคนรักของคนที่ถูกถอดแหวนหรือกำไลไป
       เจตนา ให้มีมารบาทที่ดี ไม่ก้าวก่ายสิทธิ์ของผู้อื่น และเพื่อรักษามิตรภาพให้ยั่งยืน การถอดของมีค่าที่เจ้าของไม่อนุญาตเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม
ก็ยกตัวอย่างมาให้อ่านกันพอหอมปากหอมคอนะคะ ไม่ว่าเราจะมีความเชื่ออย่างไรก็อย่าลืมเชื่อในผลของการทำความดี