วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์


ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือ นางนพมาศ หรือ เรวดีนพมาศ เป็นหนังสือที่เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัย ผู้แต่งคือ นางนพมาศ หรือ "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์" แต่หนังสืออาจชำรุดเสียหาย และได้มีการแต่งขึ้นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่คงเนื้อหาเดิมของโบราณ เพิ่งมีการชำระและตีพิมพ์เผยแพร่เป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ในคำนำว่า ในเรื่องโวหารนั้น หนังสือเล่มนี้สังเกตได้ว่าแต่งในราวสมัยรัชกาลที่ ๒รัชกาลที่ ๓ เพราะถ้าเทียบสำนวนกับหนังสือรุ่นสุโขทัย อย่างไตรภูมิพระร่วง หรือหนังสือรุ่นอยุธยา ซึ่งเห็นชัด ว่าหนังสือนางนพมาศใหม่กว่าอย่างแน่นอน และยังมีที่จับผิดในส่วนของเนื้อหา ที่กล่าวถึงชาติฝรั่งต่างๆ โดยเฉพาะอเมริกัน ซึ่งเพิ่งเกิดใหม่
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกราบทูลรัชกาลที่ ๕ ว่าหนังสือที่ปรากฏนี้คงไม่ได้เก่าขนาดสุโขทัยเป็นแน่ รัชกาลที่ ๕ ก็ทรงเห็นอย่างนั้น แต่มีนักปราชญ์รุ่นก่อนๆ เช่นรัชกาลที่ ๔ หรือ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท เชื่อว่าน่าจะมีตัวฉบับเดิมที่เก่าแก่ แต่ต้นฉบับอาจชำรุดขาดไป มาถึงสมัยรัตนโกสินทร์จึงมีการแก้ไขเพิ่มเติมให้สมบูรณ์เท่าที่จะทำได้ และเล่าสืบกันมาว่าในครั้งรัชกาลที่ ๓   ได้ทรงพระราชนิพนธ์แทรกไว้ตอนหนึ่ง  คือ  ตอนที่ว่าด้วย พระศรีมโหสถลองปัญญานางนพมาศจนจบ นางเรวดีให้โอวาทของนพมาศซึ่งกินเนื้อที่ ราว ๑ ใน ๓ ของเรื่อง

เนื้อหา
เริ่มต้นว่าด้วยกำเนิดมนุษย์ ชาติภาษา พร้อมแนะนำตัวผู้เขียน ข้าน้อยผู้ได้นามบัญญัติชื่อว่า ศรีจุฬาลักษณ์เล่าถึงกำเนิดอาณาจักรและ จากนั้นก็สรรเสริญพระเกียรติสมเด็จพระร่วงเจ้า เล่าถึงผู้คน ชาติตระกูลในสุโขทัย และมาถึงประวัติส่วนตัวของนางนพมาศ
พระมโหสถ พราหมณ์ บิดาของนางนพมาศได้เล่านิทานสอนใจแก่นางสามสี่เรื่อง จากนั้นนางเรวดี มารดา ให้โอวาทสอนมารยาท แล้วนำไปถวายตัวพระร่วงเจ้า
ช่วงต่อมานางนพมาศเล่าถึงพิธีพราหมณ์ทั้งสิ้น ๑๒ พิธี เริ่มตั้งแต่เดือน ๑๒ พิธีจองเปรียง (เดือนอ้าย เดือนยี่ จนถึงเดือนสิบเอ็ด พิธีอาชยุศ ปิดท้ายด้วยหัวข้อ ว่าด้วยความประพฤติแห่งนางสนมเรื่องกิริยามารยาทต่างๆ
ในพิธีแรก (คือเดือนสิบสองไทย) เรียกว่า พิธีจองเปรียง วันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นนักขัตฤกษ์ชักโคมลอยโคม ผู้คนพากันแต่งโคมชักโคมแขวนโคมลอยทั่วพระนคร ทำโคมตกแต่งลวดลาย มาชักมาแขวนเรียงรายตามแนวโคมชัยเสาระหงหน้าพระที่นั่ง มีมหรสพด้วย นางนพมาศทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท (ดอกบัว) จุดประทีปเปรียง (คือ ใส่น้ำมันไขข้อโค) มีจุดดอกไม้ไฟ จุดพะเนียงพลุสว่างไสวไปหมด ในหนังสือเล่าต่อว่า อันว่าโคมลอยรูปดอกกระมุทก็ปรากฏมาจนเท่าทุกวันนี้ แต่คำโลกสมมุติเปลี่ยนชื่อเรียกว่าลอยกระทงทรงประทีป
สำหรับใน พิธีจองเปรียงนี้ ได้กล่าวถึงโคมลอยโคมชัก โคมปักโคมห้อย (เช่นเดียวกับพระราชพิธีจองเปรียง ในหนังสือ พระราชพิธีสิบสองเดือน) เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสักการะพระมหาเกตุธาตุจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ และพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเรือพระที่นั่งไปถวายดอกไม้เพลิงตามพระอารามหลวงริม ฝั่งแม่น้ำทั่วพระนคร

สุภาษิตพระร่วง


สุภาษิตพระร่วง

        สุภาษิตพระร่วง  เป็นวรรณกรรมจารึกลงในแผ่นศิลารูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ติดไว้กับผนังด้านใน ของศาลาหน้าพระมหาเจดีย์หลังเหนือ วัดพระเชตุพน ฯ กรุงเทพ ฯ และจดไว้ในสมุดไทยอีกหลายเล่ม กรมศิลปากรจัดพิมพ์เป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๒ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บัญญัติพระร่วง เป็นภาษิตไทยแท้ ๆ ใช้ถ้อยคำอย่างพื้น ๆ เป็นภาษิตไทยเก่าแก่ที่ติดปากคนไทยสืบมา  และมากลายรูปไปในลักษณะกวีนิพนธ์แบบต่าง ๆ แทรกอยู่ในวรรณคดีไทยในเวลาต่อมา เมื่อพิจารณาตามรูปของวลีจะพบว่า คล้ายคลึงใกล้เคียงกับ จารึกพ่อขุนรามคำแหงอาจเป็นไปได้ว่า สุภาษิตพระร่วงเดิมเป็นพระบรมราโชวาท ซึ่งพระร่วง พ่อขุนรามคำแหง ทรงแสดงสั่งสอนประชาชนชาวไทยในครั้งนั้น
        สุภาษิตพระร่วงเขียนเป็นร่ายสุภาพ มีรูปแบบที่กำหนดไว้ตายตัวว่าในวรรคหนึ่ง ๆ ให้ใช้คำได้วรรคละห้าคำ คำส่งสัมผัสมีรูปวรรณยุกต์ใด คำรับสัมผัสต้องมีรูปวรรณยุกต์นั้น เช่น ภายในอย่านำออก ภายนอกอย่านำเข้า เป็นต้น
        วรรณกรรมเรื่องสุภาษิตพระร่วงเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะของสุโขทัย ได้รับการเรียบเรียงเป็นร่ายสุภาพ และจารึกเป็นวรรณกรรมลายลักษณ์
        ตำนานพระร่วงพระลือ  พระร่วงพระลือ จากคำบอกเล่าสืบต่อกันมาว่า เดิมจำหลักจากงาดำของช้างเผือกเป็นศิลปะสุโขทัย ต่อมามีการหล่อด้วยสำริดศิลปะอยุธยา ลักษณะประทับยืนตรง ยกพระหัตถ์ทั้งสองตั้งเสมอพระอุระ ทรงพระมาลาที่ชาวบ้านเรียกว่าหมวกชีโบ ครองจีวรคลุมยาวถึงพระชงฆ์ องค์พระร่วงสูง ๓๘ เซนติเมตร กว้าง ๘ เซนติเมตร องค์พระลือสูง ๓๔ เซนติเมตร กว้าง ๗ เซนติเมตร ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง
        พงศาวดารเหนือกล่าวประวัติพระร่วงกษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัยว่า พระบิดาเป็นมนุษย์พระมารดาเป็นนางนาค พระบิดาเดิมครองนครหริภุญไชย ทรงพระนามว่าอภัยคามมะนี ท่านได้ไปจำศีลภาวนาอยู่บนภูเขาแห่งหนึ่ง ได้มีนางนาคจำแลงกายเป็นมนุษย์ขึ้นมาเที่ยวเล่น ได้พบพระยาอภัยคามมะนีแล้วเกิดรักใคร่กัน ได้อยู่ร่วมกันเป็นเวลาเจ็ดวัน นางนาคก็กลับสู่เมืองบาดาล เมื่อใกล้คลอดบุตรจึงได้ขึ้นจากบาดาลไปยังภูเขาที่เคยพบพระยาอภัยคามมะนี และคลอดบุตรชาย ณ ที่นั้น แล้ววางบุตรบนผ้ากัมพล พร้อมทั้งวางพระธำมรงค์ที่ได้รับประทานจากพระยาอภัยคามมะนี อธิษฐานขอให้พ่อลูกพบกัน แล้วกลับไปบาดาล
        มีพรานป่าผู้หนึ่งมาพบทารกจึงนำไปเลี้ยง เมื่อกุมารเจริญวัย เป็นผู้มีบุญญาธิการ มีวาจาสิทธิ์ วันหนึ่งพระยาอภัยคามมะนี มีพระราชประสงค์จะสร้างพระราชนิเวศน์เพิ่มเติม จึงประกาศให้ราษฎรไปช่วยกันตัดไม้มาสร้างถวาย พรานป่าก็ได้พาบุตรบุญธรรมไปร่วมตัดไม้ด้วย กุมารก็แสดงฤทธิ์ด้วยการใช้วาจาสิทธิ์ให้ได้ไม้มาโดยไม่ต้องลงแรงตัด ความทราบถึงพระยาอภัยคามมะนี จึงรับสั่งให้ลูกนางนาคเข้าเฝ้า เมื่อได้ซักถามประวัติจนทราบว่า เป็นพระโอรสจึงรับเข้าไว้ในเศวตฉัตร และทรงตั้งพระนามว่า อรุณกุมาร พระยาอภัย ฯ มีโอรสกับพระมเหสีอีกองค์หนึ่ง มีพระนามว่า ฤทธิกุมาร เมื่อโอรสทั้งสองเจริญวัย ก็ได้ทรงสู่ขอพระธิดาผู้ครองนครศรีสัชนาลัยมาอภิเษกสมรสกับอรุณกุมาร เมื่อพระยาอภัย ฯ สวรรคต อรุณกุมารจึงได้ครองนครสุโขทัยสืบแทน  ต่อมาเมื่อผู้ครองนครศรีสัชนาลัยสวรรคต อรุณกุมารก็ได้ครองนครศรีสัชนาลัยควบคู่กับนครสุโขทัย ทรงพระนามว่า พระร่วงพระองค์ได้ทรงสู่ขอพระธิดาเจ้าเมืองเชียงใหม่ ให้อภิเษกสมรสกับฤทธิกุมาร และหลังจากเจ้าเมืองเชียงใหม่สวรรคตแล้ว เจ้าฤทธิกุมารก็ได้ครองเมืองเชียงใหม่ได้พระนามใหม่ว่า พระลือ
        พระร่วงส่วยน้ำ   มีตำนานเรื่องพระร่วงอีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่า   พระร่วงเป็นบุตรของนาย คงเครา นายกองส่งส่วยน้ำเมืองลพบุรี ในครั้งนั้นพระเจ้าแผ่นดินขอมแห่งกรุงกัมพูชามีเมืองขึ้นที่ต้องส่งเครื่องบรรณาการเป็นจำนวนมาก ในจำนวนดังกล่าวมีเมืองลพบุรีอยู่ด้วย เมืองลพบุรีต้องส่งส่วยน้ำเป็นเครื่องบรรณาการเป็นประจำทุกปี นายคงเครามีบุตรคนหนึ่งชื่อนายร่วง เป็นคนมีบุญญาธิการ มีวาจาสิทธิ์  เมื่อตอนที่มีอายุสิบเอ็ดปี เขาพายเรือทวนน้ำนานเข้าจึงเหน็ดเหนื่อยมากถึงกับออกปาก ว่า "ทำไมน้ำจึงไม่ไหลไปทางโน้นบ้าง" พอพูดขาดคำก็ปรากฏว่าสายน้ำได้ไหลย้อนกลับไปในทางที่จะไปทันที นายร่วงเมื่อรู้ว่าตนมีวาจาสิทธิ์ก็เก็บเรื่องไว้เป็นความลับไม่บอกให้ใครรู้
        เมื่อนายคงเคราชราภาพลง นายร่วงจึงรับหน้าที่ส่งส่วยน้ำแทนบิดา เขาคิดหาวิธีการทำภาชนะใส่น้ำส่งเจ้ากรุงกัมพูชา เป็นภาชนะที่เบาและจุน้ำได้มากโดยใช้ไม้ไผ่มาจักสานเป็นชะลอม (ครุ) ขึ้นเป็นจำนวนมาก แล้วนำไปตักน้ำในทะเลชุบศร ลั่นวาจาสิทธิ์ให้น้ำไม่รั่วออกจากชะลอม น้ำก็อยู่ในชะลอมไม่รั่วไหลออกมา เมื่อนำไปถวายพระเจ้ากรุงกัมพูชาทรงเห็นเป็นที่อัศจรรย์ และทรงวิตกว่าบัดนี้มีคนมีบุญเกิดขึ้นแล้ว ถ้าปล่อยไว้จะเป็นอันตรายต่อกรุงกัมพูชา ควรที่จะกำจัดนายร่วงเสียโดยเร็ว จึงได้ตรัสสั่งให้นายเดโชชัย นายทหารคู่พระทัยดำเนินการกำจัดนายร่วงเสีย
        ฝ่ายนายร่วงเมื่อได้ทราบว่าพระเจ้ากรุงกัมพูชาคิดกำจัดตน จึงหลบหนีจากเมืองลพบุรีขึ้นมาบวชเป็นพระภิกษุที่วัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย นายเดโชชัย เป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าก็ได้ติดตามนายร่วงมาถึงเมืองสุโขทัย เมื่อมาถึงกำแพงเมืองสุโขทัย ก็ใช้อิทธิฤทธิ์ดำดินลอดใต้กำแพงเมืองเข้ามาโผล่ขึ้นในลานวัดมหาธาตุ ขณะนั้นพระภิกษุพระร่วงกำลังกวาดลานวัดอยู่ นายเดโชชัยจึงเข้าไปถามว่า รู้ไหมว่านายร่วงที่มาจากเมืองลพบุรีนั้นขณะนี้อยู่ที่ไหน พระภิกษุร่วงก็รู้ทันทีว่าคนผู้นี้ตามมาทำร้ายตน จึงได้กล่าววาจาออกไปว่า "สูจงอยู่ที่นี่เถิด รูปจะไปบอกนายร่วงให้" พอพูดขาดคำร่างของนายเดโชชัยก็กลายเป็นหินไปทันที เมื่อชาวบ้านเมืองสุโขทัยรู้ว่าพระภิกษุร่วงมีวาจาสิทธิ์ สาปขอมให้กลายเป็นหินได้ จึงมีความเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเจ้าเมืองสุโขทัยสิ้นแล้ว จึงได้พากันอาราธนาให้พระภิกษุร่วงลาสิกขา แล้วขึ้นครองเมืองสุโขทัย ทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีจันทราธิบดี ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม นำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ประชาชน และบ้านเมืองก็เจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา
        สำหรับรูปคนที่เป็นหินนั้น ชาวบ้านเรียกว่า ขอมดำดิน ปัจจุบันถูกคนทุบตีจนแตกหักเป็นเศษเล็กเศษน้อย ทางราชการได้นำไปไว้ที่ศาลพระแม่ย่า หน้าศาลากลางจังหวัดสุโขทัย

วิเคราะห์ สุภาษิตพระร่วง
ผู้แต่ง
          พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิษฐานว่า สุภาษิตพระร่วง
                รวบรวมขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชต่อมามีผู้แสดงความเห็นว่า 
                สุภาษิต พระร่วงไม่ได้มีมาแต่สมัยสุโขทัย น่าจะเป็นของสมเด็จพระสมณเจ้า
                กรมพระปรมานุชิตชิโนรส โดยทรงดัดแปลงพระราชนิพนธ์ โคลงประดิษฐ์
พระร่วงของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแต่ยังไม่มีข้อยุติ เพราะเนื้อหา
บางตอนตรงกับหนังสือเก่าหลายเรื่อง  ซึ่งก่อนโคลงประดิษฐ์พระร่วง
ประวัติ        สุภาษิตนี้มีชื่อเรียกอย่างอื่นว่าบัญญัติพระร่วงและบัณฑิตพระร่วงตามโคลง
                กระทู้ท้ายเรื่องที่ว่า
                        บัณ    ฑิตเจิดจำแนกแจ้ง              พิศดาร  ความเอย
                ฑิต      ยุบลบรรหาร                          เหตุไว้
                พระ    ปิ่นนัคราสถาน                         อุดรสุข  ไทยนา
                ร่วง    ราชนามนี้ได้                            กล่าวถ้อยคำสอน




ลักษณะการแต่ง       ตอนต้นแต่งด้วยร่ายสุภาพจบแบบโคลงสองสุภาพตอนท้ายเป็นโคลง
กระทู้หนึ่งบท  
ความมุ่งหมาย          เพื่อสั่งสอนประชาชน
เรื่องย่อ
           เริ่มต้นกล่าวถึงพระร่วงเจ้าสุโขทัย  ทรงมุ่งประโยชน์กาลภายหน้า  จึงทรงบัญญัติสุภาษิตสำหรับสั่งสอนประชาชนขึ้นไว้  มีลักษณะเป็นสุภาษิตทั้งทางโลกและทางธรรม  รวม ๑๕๘ บท ตอนท้ายบอกชื่อหนังสือ  ผู้แต่ง  และจุดมุ่งหมายที่แต่ง ตัวอย่าง
                เมื่อน้อยให้เรียนวิชา            ให้หาสินเมื่อใหญ่
        อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน                    อย่าริร่านแก่ความ
        เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า                    หน้าศึกอย่านอนใจ
        อย่ารักเหากว่าผม                       อย่ารักลมกว่าน้ำ
        อย่ารักถ้ำกว่าเรือน                     อย่ารักเดือนกว่าตะวัน
คุณค่าและความสำคัญ
๑. เป็นปฐมสุภาษิต เป็นคำสอนที่ดีงามพึงปฏิบัติ เป็นภาษิตประจำชาติ เป็นต้นเค้าความคิดและสติปัญญาของคนไทย เป็นสิ่งแสดงถึงอุดมคติและค่านิยมของคนไทย กวีรุ่นหลังๆ ได้นำไปกล่าวอ้างในวรรณคดีเรื่องอื่นๆ
๒. เป็นหนังสือสั่งสอนที่สอนอย่างตรงไปตรงมา ใช้คำสอนทั้งในเชิงห้ามและเชิงแนะโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นเชิงห้ามด้วยถ้อยคำที่กะทัดรัด
    ถ้าอ่านสุภาษิตพระร่วงไปทีละวรรคด้วยความสังเกตจะทราบทันทีว่า คำสอนทั้งหลายที่เรียกว่าสุภาษิตพระร่วงนั้น คือหลักธรรมทางพุทธศาสนาเป็นคำสอนที่ดี มีใจความลึกซึ้งกินใจและเป็นคติธรรมที่คนไทยเรายึดถือปฏิบัติและสั่งสอนกันต่อๆ มา และได้กลายรูปไปตามลักษณะของกวีนิพนธ์แบบต่างๆ แทรกอยู่ในวรรณคดีไทยในเวลาต่อมา
    ถ้าพิจารณาตามรูปของวลีจะเห็นว่าคล้ายคลึงและใกล้เคียงกับศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง
    จึงอาจกล่าวได้ว่า สุภาษิตพระร่วงเดิมเป็นพระบรมราโชวาท ซึ่งพ่อขุนรามคำแหงทรงแสดงสั่งสอนประชาชนชาวไทยดังที่กล่าวไว้ในศิลาจารึกว่า ๑๒๑๔ ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตาลนี้ได้สิบสี่เข้า จึงให้ช่างฟันขะดารหินตั้งหว่างกลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วันเดือนเต็มเดือนบ้าง แปดวัน ฝูงปู่ครู เถร มหาเถร ขึ้นนั่งเหนือขะดารหินสวดธรรมแก่อุบาสกฝูงท่วยจำศีล ผิใช่วันสวดธรรม พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัยขึ้นนั่งเหนือขะดารหิน ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมือง และพ่อขุนรามคำแหงนั้น หาเป็นท้าวเป็นพระยาแก่ไทยทั้งหลาย หาเป็นครูอาจารย์สั่งสอนไทยทั้งหลาย ให้รู้บุญรู้ธรรมแท้
    จากข้อความในศิลาจารึกนี้ แสดงว่าพ่อขุนรามคำแหงทรงวางพระองค์อย่างครูอาจารย์ของประชาชน และทรงพอพระทัยในการสั่งสอนประชาชนชาวไทยให้รู้บุญรู้ธรรม เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นประทับนั่งเหนือขะดารหิน ทรงอบรมรัฏฐาภิปาโลบายแต่งตั้งเจ้าบ้านผ่านเมือง และคงจะโปรดพระราชทานพระบรมราโชวาทด้วยคติพจน์ง่ายๆ ณ ที่นั้นด้วย จึงทำให้คิดว่า พระบรมราโชวาทเหล่านั้นกระมัง ที่ต่อมามีผู้แก้ไขแต่งเติมเพื่อให้เข้าแบบกวีนิพนธ์แล้วกลายมาเป็นสุภาษิตพระร่วง
    เนื่องด้วยสุภาษิตพระร่วงเป็นสุภาษิตไทยแท้ และเกี่ยวข้องด้วยหลักธรรมทางพุทธศาสนาเป็นส่วนมาก เช่น เกี่ยวกับ กรรมดี กรรมชั่ว ความเมตตากรุณา ความประมาท ความเพียร ความโลภ สันโดษ ความริษยา ความโกรธ มุสาวาท ปัญญา ฯลฯ
    จึงได้มีการพิจารณาตามสำนวนภาษา แบ่งสุภาษิตพระร่วงเป็น ๒ ประเภท คือ.........สุภาษิตไทยแท้ และ พุทธศาสนสุภาษิต  
สุภาษิตไทยแท้
สุภาษิตไทยแท้ เป็นหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของคนไทยโดยทั่วไป เช่น
๑. หลักการปฏิบัติตนโดยทั่วไป เช่น
    เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่   (สิ่งที่เด็กควรปฏิบัติ)
เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า                    (อย่าลืมอุปกรณ์การทำงาน)
น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ                   (ให้รู้กาลเทศะ จังหวะที่ควร)
ที่ซุ่มเสือจงประหยัด จงเร่งระมัดฟืนไฟ (ให้ระมัดระวังอันตราย)
ที่ขวากหนามอย่าเสียเกือก ทำรั้วเรือกไว้กับตน (ให้รู้จักป้องกันอันตราย )
ช้างไล่แล่นเลี่ยงหลบ สุวานขบอย่าขบตอบ
                        (หลบเลี่ยงผู้มีอำนาจ)   (อย่าโต้ตอบกับผู้ต่ำกว่า)
อย่าตีงูให้แก่กา         (อย่าทำในสิ่งที่ทำให้ผลประโยชน์ตกแก่ผู้อื่น)
อย่าตีปลาหน้าไซ       (อย่าขัดขวางผลประโยชน์ของผู้อื่น)
๒. หลักการปฏิบัติต่อผู้ที่สูงกว่า เช่น
คบขุนนางอย่าโหด      (วางตัวให้เหมาะสม)
อย่าขัดแข็งผู้ใหญ่      (ให้อยู่ในโอวาท)
ผู้เฒ่าสั่งจงจำความ     (เชื่อฟังคำสอนผู้ใหญ่)
นอบตนต่อผู้เฒ่า       (มีสัมมาคารวะ)
อย่าเลียนครูเตือนด่า   (อย่าล้อเลียนครู)
ครูบาสอนอย่าโกรธ    (อย่าโกรธเมื่อครูสอน)
จงนบนอบผู้ใหญ่        (มีสัมมาคารวะ)  
๓. หลักการปฏิบัติต่อผู้เสมอกัน เช่น
อย่าอวดหาญแก่เพื่อน                  (อย่าข่มเหงเพื่อน)
ที่ผิดช่วยเตือนตอบ ที่ชอบช่วยยกยอ   (จะติจะชมก็ให้เหมาะสมกับโอกาส)
พรรคพวกพึงทำนุก ปลุกเอาแรงทั่วตน (ให้บำรุงดูแลพรรคพวก)
อย่าขอของรักมิตร     (การขอของรัก อาจทำให้เขาเกิดความร้าวฉานได้)
ยอมิตรเมื่อลับหลัง                     (ชมเพื่อนลับหลังแสดงว่าจริงใจ)
๔. หลักการปฏิบัติต่อผู้ต่ำกว่า เช่น
ข้าคนไพร่อย่าไฟฟุน     (อย่าใส่อารมณ์กับลูกน้อง)
ยอข้าเมื่อแล้วกิจ       (ข้าทาสจะได้ชอบใจหายเหนื่อย)
คนจนอย่าดูถูก                 (อย่าดูถูกผู้ที่ต่ำกว่า)  
๕. หลักการปฏิบัติต่อผู้ที่ตนรัก เช่น
ที่รักอย่าดูถูก            (ให้ดูแลคนใกล้ชิด)
คนรักอย่าวางใจ         (อย่าละเลยดูแลคนใกล้ชิด)
ลูกเมียยังอย่าสรรเสริญ (อย่าชมลูกเมียตัวเอง)
๒. พุทธศาสนสุภาษิต
สุภาษิตพระร่วงบางตอนแปลจากพุทธศาสนสุภาษิตโดยตรง บางตอนดัดแปลงมาจากศาสนธรรม เช่น อย่าใฝ่เอาทรัพย์ท่าน  ดัดแปลงมาจากอทินนาทานา เวรมณีเว้นจากการลักทรัพย์ ส่วนที่แปลมาจากพุทธศาสนสุภาษิตมีอยู่มากดังนี้
๑. เอาแต่ชอบเสียผิด
ตํ คณฺเยยฺยํ ยทปณฺณกํ                 สิ่งใดไม่ผิดถือเอาสิ่งนั้น
๒. อย่าประกอบกิจเป็นพาล
ปาปานิ ปริวชฺชเย              พึงละเว้นกรรมชั่วทั้งหลาย
๓. ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้าง
โลโกปตฺถมฺภิกา เมตฺตา                 เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก
๔. สร้างกุศลอย่ารู้โรย
อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ            พึงขวนขวายในกรรมดี
๕. อย่าโดยคำคนพลอด
นาสมเส อลิกวาทิเน            ไม่ควรไว้ใจคนพูดพล่อยๆ
๖. อย่าใฝ่ตนให้เกิน
อตฺตานํ นาติวตฺเตยฺย           บุคคลไม่ควรลืมตน
. ได้ส่วนอย่ามักมาก
ยํ ลทฺธํ เตน ตุฏฺฐพฺพํ           ได้สิ่งใดพึงพอใจด้วยสิ่งนั้น
๘. อย่าเบียดเสียดแก่มิตร
มิตฺตทุพฺโภ หิ ปาปโก           ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวแท้
๙. อย่ามัวเมาเนืองนิจ
มา ปมาท มนุญฺเชต            อย่ามัวประกอบความประมาท
๑๐. คบคนพาลอย่าพาลผิด อย่าผูกมิตรไมตรี
มาสสุ พาเลน สงฺคจฺฉิ อมิตฺเตเนว สพฺพทา อย่าคบกับคนพาลซึ่งเป็นดังศัตรูทุกเมื่อ
๑๑. อย่ากอปรจิตริษยา
อรติ โลกนาสิกา                ความริษยาทำให้โลกฉิบหาย
๑๒. อย่ายินคำคนโลภ
นาสมเส อตฺตตถปญฺญมฺหิ      ไม่ควรไว้ใจคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
๑๓. อย่ากริ้วโกรธเนืองนิจ
มา โกธสส วสํ คมิ              อย่าลุอำนาจความโกรธ
๑๔. อย่าทำการที่ผิด
อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย             ความชั่วไม่ทำเสียดีกว่า
๑๕. คิดขวนขวายที่ชอบ
กตญฺ จ  สุกตํ เสยฺโย           ความดีนั่นแลดีกว่า
๑๖. การจะทำอย่าด่วนได้
นิสมฺม กรณํ เสยฺโย             ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำดีกว่า
๑๗. อย่าริกล่าวคำคด
โมสวชฺเช น นิยเยถ             ไม่ควรนิยมการกล่าวคำเท็จ
๑๘. คิดข้างหน้าอย่าเบา
รกฺเขยฺยานาคตํ ภยํ             พึงป้องกันภัยที่ยังมาไม่ถึง
๑๙. เป็นคนเรียนความรู้
ปญฺญาเมว สุสิกฺเขยฺย          พึงศึกษาหาความรู้ให้ดี
๒๐. ใจอย่าเบาจงหนัก
จิตฺตํ รกฺเขถ เมธาวี            ผู้มีปัญญาพึงรักษาจิต 

ไตรภูมิพระร่วง


ไตรภูมิพระร่วง
        ไตรภูมิกถา หรือไตรภูมิพระร่วง  เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกสมัยกรุงสุโขทัยนับเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของไทย เป็นพระราชนิพนธ์ใน สมเด็จพระศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราช หรือพระมหาธรรมราชาลิไทย เป็นวรรณคดีไทยที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทย ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยามาจนถึงปัจจุบัน เพราะได้รวบรวมเอาคติความเชื่อทุกแง่ทุกมุมของทุกชนชั้นหลายเผ่าพันธุ์มาร้อยเรียงเป็นเรื่องราวให้ผู้อ่านผู้ฟังยำเกรงในการกระทำบาปทุจริต และเกิดความปิติยินดีในการทำบุญทำกุศล อาจหาญมุ่งมั่นในการกระทำคุณงามความดี
        พระมหาธรรมราชาลิไทย มีพระปรีชารอบรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก  อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และปกรณ์พิเศษต่าง ๆ พระองค์ยังเชี่ยวชาญในวิชาโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และไสยศาสตร์จนถึงขั้นทรงบัญญัติคัมภีร์ศาสตราคมเป็นปฐมธรรมเนียมสืบต่อมา จนถึงปัจจุบัน
        ในปี พ.ศ.๑๘๘๘ พระยาลิไทย อุปราชผู้ครองนครศรีสัชนาลัย ได้ทรงนิพนธ์ไตรภูมิกถาขึ้น มีสาระสำคัญ คือทรงพรรณาถึงเรื่องการเกิด การตายของสัตว์ทั้งหลายว่า การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภูมิทั้งสามคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ด้วยอำนาจของบุญและบาปที่ตนได้กระทำแล้ว
        กามภูมิ  เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ แบ่งออกเป็นสองประเภท คือ อบายภูมิ และสุคติภูมิ
        อบายภูมิ  ยังแบ่งออกเป็นสี่ภูมิได้แก่ นรกภูมิ ติรัจฉานภูมิ เปรตภูมิ และอสูรกายภูมิ
        นรกภูมิ  เป็นที่ตั้งของสัตว์ที่ทำบาป ต้องไปรับทัณฑ์ทรมานนานาประการ แบ่งออกเป็นขุมใหญ่ ๆ ได้ แปดขุมด้วยกัน คือ
        -  สัญชีพนรก          มีอายุ ๕๐๐     ปีนรก     (๑ วันเท่ากับ ๙ ล้านปีของมนุษย์)
        -  กาฬสุตตนรก        มีอายุ ๑,๐๐๐  ปีนรก     (๑ วันเท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์)
        -  สังฆาฏนรก         มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีนรก    (๑ วันเท่ากับ ๑๔๕ ล้านปีของมนุษย์)
        -  โรรุวะนรก           มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีนรก   (๑ วันเท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีของมนุษย์)
        -  มหาโรรุวะนรก       มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีนรก  (๑ วันเท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีของมนุษย์)
        -  ตาปนรก            มีอายุ ๑๖,๐๐๐         ปีนรก (๑ วันเท่ากับ ๙,๒๓๖ ล้านปีของมนุษย์)
        -  มหาตาปนรก                มีอายุยาวนานนับไม่ถ้วน
        -  อวีจีนรก หรือ อเวจีนรก     มีอายุนับได้กัลป์หนึ่ง
        ในแต่ละนรกยังมีนรกบริวาร เช่น นรกขุมที่ชื่อโลหสิมพลี เป็นนรกบริวารของสัญชีพนรก ผู้ที่เป็นชู้กับสามีหรือภริยาผู้อื่นจะมาตกนรกขุมนี้ จะถูกนายนิรบาลไล่ต้อนให้ขึ้นต้นงิ้วที่สูงต้นละหนึ่งโยชน์ มีหนามเป็นเหล็กร้อนจนเป็นสีแดงมีเปลวไฟลุกโชนยาว ๑๖ นิ้ว ชายหญิงที่เป็นชู้กันต้องปีนขึ้นลง โดยมีนายนิรบาลเอาหอกแหลมทิ่มแทงให้ขึ้นลงวนเวียนอยู่เช่นนี้นับร้อยปีนรก
        สำหรับผู้ที่ทำบาป แต่ไม่หนักพอที่จะตกนรก ก็ไปเกิดในที่อันหาความเจริญมิได้ อื่น ๆ เช่น เกิดเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน พวกที่พ้นโทษจากนรกแล้วยังมีเศษบาปติดอยู่ก็ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นมนุษย์ที่ทุพพลภาพพิกลพิการ ตามความหนักเบาของบาปที่ตนได้ทำไว้
        สุคติภูมิ เป็นส่วนของกามาพจรภูมิ หรือ กามสุคติภูมิ แบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น คือ มนุษย์ภูมิ สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาภูมิ สวรรค์ชั้นตาวติงสาภูมิ (ดาวดึงส์-ไตรตรึงษ์) สวรรค์ชั้นยามาภูมิ สวรรค์ชั้นตุสิตาภูมิ (ดุสิต) สวรรค์ชั้นนิมมานรดีภูมิ และสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตีภูมิ
        กามาพจรภูมิทั้งเจ็ดชั้น เป็นที่ตั้งอันเต็มไปด้วยกาม เป็นที่ท่องเที่ยวของสัตว์ที่ลุ่มหลงอยู่ใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นอารมณ์อันพึงปรารถนา เมื่อรวมกับอบายภูมิอีกสี่ชั้นเรียกว่า กามภูมิสิบเอ็ดชั้น
        รูปภูมิ หรือรูปาวจรภูมิ  ได้แก่ รูปพรหมสิบหกชั้น เริ่มตั้งแต่พรหมปริสัชชาภูมิ ที่อยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นหก คือ ปรนิมมิตวสวัตดี มากจนนับระยะทางไม่ได้ ระยะทางดังกล่าวอุปมาไว้ว่า สมมติมีหินก้อนใหญ่เท่าโลหะปราสาทในลังกาทวีป หินก้อนนี้ทิ้งลงมาจากชั้นพรหมปริสัชชาภูมิ หินก้อนนั้นใช้เวลาถึงสี่เดือนจึงจะตกลงถึงพื้น
        จากพรหมปริสัชชาภูมิขึ้นไปถึงชั้นที่สิบเอ็ด ชื่อชั้นอสัญญีภูมิ เป็นรูปพรหมที่มีรูปแปลกออกไปจากพรหมชั้นอื่น ๆ คือ พรหมชั้นอื่น ๆ มีรูป มีความรู้สึก เคลื่อนไหวได้ แต่พรหมชั้นอสัญญีมีรูปที่ ไม่ไหวติง ไร้อริยาบท โบราณเรียกว่า พรหมลูกฟักครั้นหมดอายุ ฌานเสื่อมแล้วก็ไปเกิดตามกรรมต่อไป
        รูปพรหมที่สูงขึ้นไปจากอสัญญีพรหมอีกห้าชั้นเรียกว่า ชั้นสุทธาวาส หมายถึงที่อยู่ของผู้บริสุทธิ ผู้ที่จะไปเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสคือ ผู้ที่สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระอนาคามี คือเป็นผู้ที่ไม่กลับมาสู่โลกนี้ต่อไป ทุกท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนิพพานในชั้นสุทธาวาสนี้
        อรูปภูมิ หรืออรูปาพาจรภูมิ  มีสี่ชั้น เป็นพรหมที่ไม่มีรูปปรากฏ ผู้ที่ไปเกิดในภูมินี้คือผู้ที่บำเพ็ญเพียรจนได้บรรลุฌานโลกีย์ชั้นสูงสุด เรียกว่าอรูปฌานซึ่งมีอยู่สี่ระดับได้แก่ผู้ที่บรรลุอากาสานัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากาสานัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาวิญญาณเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในวิญญาณัญจายตะภูมิ ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาความไม่มีเป็นอารมณ์) จะไปเกิดในอากิญจัญญาตนะภูมิ และผู้ที่บรรลุเนวสัญญานสสัญญายตนะฌาน (ยึดหน่วงเอาฌานที่สามให้ละเอียดลงจนเป็นผู้มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีญาก็มิใช่) จะไปเกิดในแนวสัญญานาสัญญายตนะภูมิ พรหมเหล่านี้เมื่อเสื่อมจากฌานก็จะกลับมาเกิดในรูปพรหมภูมิ หรือภูมิอื่น ๆ ได้เช่นกัน
        การกำเนิดของสัตว์  การเกิดของสัตว์ในสามภูมิมีอยู่สี่อย่างด้วยกันคือ
               -  ชลาพุชะ เกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานบางชนิดที่เลี้ยงลูกด้วยนม
               -  อัณฑชะ เกิดในไข่ ได้แก่สัตว์เดรัจฉานบางชนิด  เช่น นก สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด ปลา เป็นต้น
               -  สังเสทชะ เกิดในเถ้าไคล ได้แก่สัตว์ชั้นต่ำบางชนิดที่ใช้การแบ่งตัวออกไป เช่น ไฮดรา อมีบา เป็นต้น
               -  โอปาติกะ เกิดขึ้นเอง เมื่อเกิดแล้วก็จะสมบูรณ์เต็มที่ เมื่อตายไปจะไม่มีซาก ได้แก่ เปรต อสูรกาย เทวดา และพรหม เป็นต้น
          
        การตายของสัตว์  การตายมีสาเหตุสี่ประการด้วยกันคือ
               -  อายุขยะ              เป็นการตายเพราะสิ้นอายุ
               -  กรรมขยะ            เป็นการตายเพราะสิ้นกรรม
               -  อุภยขยะ             เป็นการตายเพราะสิ้นทั้ง อายุ และสิ้นทั้งกรรม
               -  อุปัจเฉทกรรมขยะ    เป็นการตายเพราะอุบัติเหตุ
        นอกจากนั้นแล้ว มีการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ ในโลกและในจักรวาล มีภูเขาพระสุเมรุราชเป็นแกนกลาง แวดล้อมด้วยกำแพงน้ำสีทันดรสมุทร และภูเขาสัตตบรรพต อันประกอบด้วย ภูเขายุคนธร อินิมธร กรวิก สุทัศนะ เนมินธร วินันตกะ และอัสสกัณณะ กล่าวถึงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวนพเคราะห์ และดารากรทั้งหลายในจักรวาล เป็นเครื่องบ่งบอกให้รู้วันเวลาฤดูกาล และเหตุการณ์ต่าง ๆ กล่าวถึงทวีปทั้งสี่ที่ตั้งอยู่รอบภูเขาพระเมรุมาศ ชมพูทวีปอยู่ทางทิศใต้กว้าง ๑๐,๐๐๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๓๐๐,๐๐๐ โยชน์ มีแผ่นดินเล็กล้อมรอบได้ ๕๐๐ มีแผ่นดินเล็กอยู่กลางทวีปใหญ่สี่ผืน เรียกว่า สุวรรณทวีป กว้างได้ ๑,๐๐๐ โยชน์ มีประมณฑล ๓๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นเมืองที่อยู่ของพญาครุฑ
        การกำหนดอายุของสัตว์และโลกทั้งสามภูมิ   มีกัลป์  มหากัลป์ การวินาศ การอุบัติ การสร้างโลก สร้างแผ่นดินตามคติของพราหมณ์
        ท้ายสุดของภูมิกถา เป็นนิพพานกถาว่าด้วยนิพพานสมบัติของพระอริยะเจ้าทั้งหลาย วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุพระนิพพาน อันเป็นวิธีตามแนวทางของพระพุทธศาสนา