วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ปัญหาเรื่องพระ ๕ รูป โดย นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย

เดือนหนึ่งหลังจากออกพรรษา 
สังคมไทยจะอึกทึกไปด้วยบรรยากาศงานบุญกฐิน
เรื่องที่จะได้อ่านต่อไปนี้เป็นอีกเงื่อนแง่หนึ่งของบุญกฐิน
นั่นคือ วัดที่มีพระจำพรรษาไม่ถึง ๕ รูป 
ไปนิมนต์พระจากต่างวัดมาร่วมพิธีทอดกฐินเพื่อให้ครบ ๕ รูป
มีผู้กระทำกันอยู่
มีผู้เห็นว่าทำได้
แต่ส่วนมากไม่ได้สนใจที่จะศึกษาหลักฐานในพระคัมภีร์
...................
สมัยหนึ่งนานมาแล้ว เคยมีปัญหาเรื่องทอดกฐินว่าต้องมีพระอย่างน้อยกี่รูปจึงจะรับกฐินได้?
ต่อมาจึงมีผู้ค้นคว้าจนได้คำตอบชัดเจนว่า พระที่รับกฐินอย่างน้อยต้อง ๕ รูป
ตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นอีกว่า พระอย่างน้อย ๕ รูปนั้นต้องเป็นพระวัดเดียวกัน หรือนิมนต์มาจากต่างวัดก็ได้?
....................
เบื้องต้น ขอให้ดูหลักนิยมที่ปรากฏในสังคมกันก่อน
พอใกล้เข้าพรรษา วัดไหนมีพระจำพรรษาไม่ถึง ๕ รูป จะมีผู้เดือดร้อนมาก ทั้งชาววัด ทั้งชาวบ้าน
ใครพอรู้จักวัดไหนที่มีพระมาก ก็จะพยายามไปติดต่อขอพระมาจำพรรษาที่วัดของตนให้ได้ครบ ๕ รูป
หาพระจากวัดอื่นไม่ได้จริงๆ ถึงขนาดขอร้องผู้ชายในหมู่บ้านให้ช่วยบวชพระสักพรรษาก็มี
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีข่าวเรื่องทางราชการจัดหาพระจากภาคกลางและภาคอื่นๆ ให้ไปจำพรรษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาจากการก่อการร้ายจนวัดต่างๆ ในพื้นที่หาพระอยู่ได้ยาก
จำนวนพระที่จัดหาไประบุชัดเจนว่าอย่างน้อยต้องวัดละ ๕ รูป
ทั้งหลายทั้งปวงนี้มีเหตุผลอยู่ข้อเดียวคือ ถ้ามีพระจำพรรษาไม่ถึง ๕ รูปก็รับกฐินไม่ได้
ถ้านิมนต์มาจากต่างวัดก็ใช้ได้ จะต้องเดือดร้อนทำไม
ตอนจำพรรษาจะมีไม่ครบ ๕ รูปก็ไม่เป็นไร พอถึงเวลาจะรับกฐินก็ไปนิมนต์มาจากต่างวัดให้ครบ ๕ รูป เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว
เป็นอันเห็นได้ชัดว่า ตามความเข้าใจของคนทั้งหลายนั้น พระ ๕ รูปที่จะรับกฐินได้ต้องเป็นพระวัดเดียวกัน
หลักฐานอีกแห่งหนึ่ง มีอยู่ในคำถวายกฐินพระราชทาน
คำถวายกฐินพระราชทานมีดังนี้ -
................
ผ้าพระกฐินทานกับทั้งผ้าอานิสงสบริวารทั้งปวงนี้ ของ ... (ออกพระนามพระเจ้าแผ่นดิน) ... ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ กอปรด้วยพระราชศรัทธาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ ... (ออกนามผู้ได้รับพระราชทาน) ... น้อมนำมาถวายแด่พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษากาลถ้วนไตรมาสในอาวาสวิหารนี้ ขอพระสงฆ์จงรับผ้าพระกฐินทานนี้กระทำกฐินัตถารกิจตามพระบรมพุทธานุญาตนั้น เทอญ
................
ขอให้สังเกตข้อความตรงที่ว่า “น้อมนำมาถวายแด่พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษากาลถ้วนไตรมาสในอาวาสวิหารนี้”
ในคำอปโลกน์กฐินซึ่งพระเป็นผู้กล่าว ก็จะมีข้อความนี้เช่นเดียวกัน
“น้อมนำมาถวายแด่พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษากาลถ้วนไตรมาสในอาวาสวิหารนี้” หมายความว่ากระไร?
ภาษาไทยตรงนี้อาจดิ้นได้ เพราะฉะนั้นควรสกัดความให้ชัดลงไป
ข้อ ๑ “... พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษาในอาวาสนี้” หรือ --
ข้อ ๒ “น้อมนำมาถวายแด่พระสงฆ์ในอาวาสนี้” หรือ --
ข้อ ๓ “น้อมนำมาถวายอาวาสนี้”
ถ้าเป็นตามข้อ ๑ ก็ชัดเจนว่า เป็นพระสงฆ์ในวัดเดียวกัน คือจำพรรษาอยู่ในวัดเดียวกัน
ถ้าเป็นตามข้อ ๒ แม้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นพระที่ “จำพรรษาในอาวาสนี้” ก็จริง แต่ถามว่า พระที่นิมนต์มาจากต่างวัด จะเรียกว่า “พระสงฆ์ในอาวาสนี้” ได้หรือไม่
ถามใหม่ว่า คำว่า “พระสงฆ์ในอาวาสนี้” หมายถึงพระที่อยู่ประจำในวัดนี้ หรือหมายถึงพระที่มาจากวัดอื่นก็ได้
ถ้ายังไม่ชัด ถามใหม่อีกที
วันหนึ่งมีพระรูปหนึ่งมาจากวัดอื่น เข้ามานั่งอยู่วัดนี้
ถามว่า “นี่พระวัดไหน”
ตอบว่า “พระวัดนี้”
ได้หรือไม่?
ถ้าเป็นตามข้อ ๓ “น้อมนำมาถวายอาวาสนี้” ก็หมายความว่า ต้องการถวายผ้ากฐินในวัดนี้โดยไม่จำกัดว่าวัดนี้จะมีพระอยู่จำพรรษาหรือไม่ ถ้ามี จะมีกี่รูป จะเป็นพระวัดนี้ทั้งหมดหรือมีพระวัดอื่นมารวมอยู่ด้วยก็ไม่ติดใจ หรือไม่มีพระวัดนี้เลยแม้แต่รูปเดียว แต่เป็นพระที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่วัดนี้ หรือเป็นอาคันตุกะจาริกเรื่อยไป วันที่ทอดกฐินจาริกมาถึงวัดนี้เข้าพอดี ก็เลยนิมนต์ให้รับกฐินด้วย-แบบนี้ก็ไม่ติดใจอีกเช่นกัน
---------------------
ลองสมมุติถามดูว่า การทอดกฐินนั้นมีเจตนาจะถวายผ้ากฐินให้พระที่จำพรรษาอยู่ในวัดนั้นๆ (ตามข้อ ๑)
หรือมีเจตนาจะถวายผ้ากฐินให้พระที่มาจากไหนก็ได้ ถ้าในวันเวลาที่ถวายผ้ากฐิน มีพระมาปรากฏตัวอยู่ในวัดนั้นไม่ว่าจะมาจากวัดไหนย่อมมีสิทธิ์ได้รับกฐินเสมอหน้ากันหมดทุกรูป – เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ (ตามข้อ ๒)
หรือมีเจตนาจะถวายให้แก่วัด ไม่ได้ติดใจที่จะถวายให้แก่พระ (ตามข้อ ๓)
.............
ใคร่ครวญดูความหมายของภาษา จะเห็นได้ชัดว่า-มีเจตนาถวายผ้ากฐินให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวัดเดียวกันเท่านั้น ไม่ใช่พระสงฆ์ที่มาจากวัดอื่น
---------------------
ควรทราบว่า (๑) ความเข้าใจของคนทั้งหลายที่ว่าเข้าพรรษาต้องหาพระมาจำพรรษาให้ได้ ๕ รูปเป็นอย่างน้อย ก็ตาม และ (๒) คำถวายกฐินที่พูดว่า “น้อมนำมาถวายแด่พระสงฆ์ซึ่งจำพรรษากาลถ้วนไตรมาสในอาวาสวิหารนี้” ก็ตาม เป็นเพียงความเข้าใจของผู้คนเท่านั้น
ผู้คนอาจเข้าใจผิดและพูดผิดได้เสมอ
จึงไม่อาจจะยึดเอาเป็นหลักฐานที่ถูกต้องได้เสมอไป
อีกประการหนึ่ง ยังมีทางแย้งได้อีกทางหนึ่ง คือ – ก็รู้และเข้าใจดีว่า ผู้ถวายผ้ากฐินมีเจตนาถวายแก่พระที่จำพรรษาในวัดเดียวกัน แต่ที่นิมนต์มาจากต่างวัดนั้นไม่ได้มีเจตนาจะให้มารับการถวายผ้ากฐิน มีเจตนาเพียงแค่มาร่วมพิธีให้ครบองค์สงฆ์ตามพระวินัยเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ก็ควรจะตามไปดูในพระวินัยว่าท่านมีกำหนดกฎเกณฑ์ไว้อย่างไร
---------------------
ในกฐินขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค ภาค ๒ พระวินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๙๖ มีพระบาลีอันเป็นพระพุทธานุญาตต้นเดิมว่า -
....................
อนุชานามิ ภิกฺขเว วสฺสํ วุตฺถานํ ภิกฺขูนํ กฐินํ อตฺถริตุํ.
แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน
....................
ในพระบาลีนี้ใช้คำว่า วสฺสํ วุตฺถานํ ภิกฺขูนํ แปลว่า “ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาแล้ว” ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันชัดเจนว่า พระที่จะรับกฐินได้ต้องเป็นพระที่อยู่จำพรรษาครบไตรมาส คือสามเดือนในฤดูกาลเข้าพรรษา โดยไม่ขาดพรรษา ไม่ใช่เป็นพระที่เพิ่งบวชเพื่อจะมารับกฐิน
และต้องเป็น “ภิกษุทั้งหลาย” คือเป็นภิกษุหลายรูป ไม่ใช่ “ภิกษุรูปเดียว”
แต่พระบาลีไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นต้องจำพรรษาอยู่ในวัดเดียวกันทั้งหมด หรือว่าแม้อยู่คนละวัดก็รับกฐินร่วมกันได้
ปัญหานี้ พระอรรถกถาจารย์มีคำอธิบายไว้ชัดเจนในตอนที่กล่าวถึงวิธีกรานกฐิน
ในกฐินขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๕ ข้อ ๙๖ มีพระบาลีตอนหนึ่งว่า
....................
เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว กฐินํ อตฺถริตพฺพํ ...
แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงกรานกฐินอย่างนี้ --
....................
พระบาลีตรงนี้พระอรรถกถาจารย์อธิบายขยายความไว้ ซึ่งขอยกมาพร้อมทั้งคำแปลประโยคต่อประโยค ดังนี้ -
..................
เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว กฐินํ อตฺถริตพฺพนฺติ เอตฺถ
วินิจฉัยในคำว่า เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว กฐินํ อตฺถริตพฺพํ นี้ พึงทราบดังนี้ :-
กฐินตฺถารํ เก ลภนฺติ เก น ลภนฺตีติ ฯ
ถามว่า ใครได้กรานกฐิน ใครไม่ได้?
(หมายความว่า ภิกษุเช่นไรรับกฐินได้ เช่นไรรับกฐินไม่ได้)
คณนวเสน ตาว
ตอบว่า ว่าด้วยหลักการแห่งจำนวนก่อน
ปจฺฉิมโกฏิยา ปญฺจ ชนา ลภนฺติ
ภิกษุห้ารูปเป็นอย่างต่ำย่อมได้กราน
อุทฺธํ สตสหสฺสมฺปิ ฯ
อย่างสูงแม้ตั้งแสนก็ได้.
ปญฺจนฺนํ เหฏฺฐา น ลภนฺติ ฯ
หย่อนห้ารูป ไม่ได้.
วุตฺถวสฺสวเสน
ว่าด้วยหลักการแห่งภิกษุผู้จำพรรษา
ปุริมิกาย วสฺสํ อุปคนฺตฺวา ปฐมปวารณาย ปวาริตา ลภนฺติ
ภิกษุผู้เข้าพรรษาต้น ปวารณาในวันปฐมปวารณาแล้ว ย่อมได้
ฉินฺนวสฺสา วา ปจฺฉิมิกาย อุปคตา วา น ลภนฺติ
ภิกษุผู้มีพรรษาขาด หรือเข้าพรรษาหลัง ย่อมไม่ได้
อญฺญสฺมึ วิหาเร วุตฺถวสฺสาปิ น ลภนฺตีติ มหาปจฺจริยํ วุตฺตํ ฯ
แม้ภิกษุที่จำพรรษาในวัดอื่นก็ไม่ได้. ในมหาปัจจรีแก้ไว้ดังว่ามานี้
ที่มา: สมันตปาสาทิกา (อรรถกถาวินัยปิฎก) ภาค ๓ หน้า ๒๑๐
..................
สรุปว่า --
พระที่รับกฐินได้ คือ พระที่จำพรรษาในวัดเดียวกันครบ ๓ เดือนและมีจำนวนตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป
พระที่รับกฐินไม่ได้ คือ
๑ จำพรรษาในวัดเดียวกันน้อยกว่า ๕ รูป (ปญฺจนฺนํ เหฏฺฐา)
๒ พระที่พรรษาขาด (พรรษาขาดคือ ไปค้างแรมที่อื่น หรือไม่อยู่ในเขตที่กำหนดจำพรรษาเมื่อได้อรุณในแต่ละวัน โดยไม่เข้าเกณฑ์ที่ได้รับยกเว้น) (ฉินฺนวสฺสา)
๓ พระที่จำพรรษาหลัง (พระเข้าพรรษาได้ ๒ ช่วง ช่วงแรกคือตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๘ ไปออกพรรษากลางเดือน ๑๑ เรียกว่า “พรรษาต้น” ช่วงหลังตั้งแต่แรมค่ำ ๑ เดือน ๙ ไปออกพรรษากลางเดือน ๑๒ เรียกว่า “พรรษาหลัง” พระที่จำพรรษาหลังไม่มีสิทธิ์รับกฐิน) (ปจฺฉิมิกาย อุปคตา)
๔ พระที่จำพรรษาในวัดอื่น (อญฺญสฺมึ วิหาเร วุตฺถวสฺสาปิ)
ข้อ ๔ นี่คือกรณีที่นิมนต์มาจากวัดอื่นที่กำลังอภิปรายกันอยู่นี้
ชัดเจนแล้วว่า พระที่พรรษาขาดและพระที่นิมนต์มาจากวัดอื่น จะเอามานับรวมเพื่อให้ครบ ๕ รูป ใช้ไม่ได้ ผิดพระวินัย
แต่เฉพาะพระที่จำพรรษาหลังมีกรณีที่ท่านอนุโลม กล่าวคือ ถ้าพระที่จำพรรษต้นมีไม่ครบ ๕ รูป และในวัดเดียวกันนั้นมีพระที่จำพรรษาหลังอยู่ด้วย ท่านให้เอาพระที่จำพรรษหลังมาร่วมพิธีให้ครบ ๕ รูปเพื่อรับกฐินได้
แต่พระที่จำพรรษหลังรูปนั้นก็คงไม่ได้รับอานิสงส์กฐินอยู่นั่นเอง
พูดง่ายๆ มาช่วยให้เขารับกฐินสำเร็จ แต่ทำงานฟรี ไม่มีค่าตอบแทน
และประเด็นตรงนี้แหละที่มีผู้นำไปอ้างอิงเพื่อยืนยันว่า นิมนต์พระจากวัดอื่นมาร่วมพิธีเพื่อให้ครบ ๕ รูป ก็ใช้ได้
ตามหลักฐานในคัมภีร์ตรงนี้กลับตรงกันข้าม คือ-ใช้ไม่ได้
ขอให้พิจารณาข้อความในคัมภีร์ซึ่งอยู่ต่อเนื่องมาจากข้างต้นนั่นเอง
..................
ปุริมิกาย อุปคตานมฺปน สพฺเพ ปจฺฉิมิกา คณปูรกา โหนฺติ
และภิกษุทั้งปวงผู้เข้าพรรษาหลังเป็นคณปูรกะของภิกษุผู้เข้าพรรษาต้นก็ได้
อานิสํสํ น ลภนฺติ
แต่พวกเธอไม่ได้อานิสงส์
อานิสํโส อิตเรสํเยว โหติ ฯ
อานิสงส์ย่อมสำเร็จแก่พวกภิกษุที่เข้าพรรษาต้นเท่านั้น.
สเจ ปุริมิกาย อุปคตา จตฺตาโร วา โหนฺติ ตโย วา เทฺว วา เอโก วา
ถ้าภิกษุผู้เข้าพรรษาต้นมีสี่รูป หรือสามรูป หรือสองรูป หรือรูปเดียว
อิตเร คณปูรเก กตฺวา กฐินํ อตฺถริตพฺพํ ฯ
พึงนิมนต์ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังมาเพิ่มให้ครบคณะแล้วกรานกฐินเถิด.
..................
คำว่า “พึงนิมนต์ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังมาเพิ่มให้ครบคณะ” ต้องหมายถึงภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังในวัดเดียวกันเท่านั้น ไม่ใช่หมายถึงภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังในวัดอื่น
เพราะถ้าหมายถึง “ภิกษุในวัดอื่น” จะต้องมีคำว่า “ผู้เข้าพรรษาหลัง” กำกับไว้ด้วยทำไม?
ถ้ายืนยันว่า ภิกษุจากวัดอื่นก็ใช้ได้-โดยอ้างหลักฐานตรงนี้-ภิกษุจากวัดอื่นที่นิมนต์มาจะต้องเป็น “ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลัง” เท่านั้น-ใช่ไหม?
ก็ถ้าภิกษุจากวัดอื่นก็ใช้ได้ ท่านจะไปจำกัดทำไมว่าต้องเป็น “ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลัง”?
ท่านควรจะเปิดโล่งไว้เลยว่า ภิกษุจากวัดอื่นทั้งหมด-จะเข้าพรรษาต้นหรือพรรษาหลังก็ใช้ได้ทั้งนั้น-อย่างนี้มิใช่หรือ?
ก็ท่านเพิ่งบอกไว้หยกๆ ว่า ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังไม่มีสิทธิ์รับกฐิน แต่แล้วกลับมาบอกว่า ถ้าพระไม่ครบ ก็ให้ไปนิมนต์ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังจากวัดอื่นมาร่วมพิธีให้ครบ
ก็ถ้าภิกษุจากวัดอื่นก็ใช้ได้ ทำไมไม่เอาภิกษุผู้เข้าพรรษาต้นซึ่งมีสิทธิ์รับกฐินอยู่แล้ว ไปเอาภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังซึ่งไม่มีสิทธิ์รับกฐินมาร่วมพิธีทำไมกัน
พิจารณาด้วยเหตุผลดังนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่า คำว่า “ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลัง” ในที่นี้หมายถึงภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังในวัดเดียวกันเท่านั้น ไม่ใช่จากต่างวัด
อาจกล่าวได้ว่า แม้จะไม่มีสิทธิ์รับกฐินเพราะเข้าพรรษาหลัง-แต่เพราะเหตุที่จำพรรษาในวัดเดียวกันนั่นเองท่านจึงอนุโลมให้ไปช่วยเป็นคณปูรกะทำให้พระที่เข้าพรรษาต้นสามารถรับกฐินได้ตามสิทธิ์
---------------------
มีข้อเยื้องแย้งที่ควรทราบไว้ นั่นคือ ภาษาบาลีในอรรถกถาตรงข้อความนี้ ----
ปุริมิกาย อุปคตานมฺปน สพฺเพ ปจฺฉิมิกา คณปูรกา โหนฺติ
อานิสํสํ น ลภนฺติ อานิสํโส อิตเรสํเยว โหติ ฯ สเจ ปุริมิกาย อุปคตา จตฺตาโร วา โหนฺติ ตโย วา เทฺว วา เอโก วา อิตเร คณปูรเก กตฺวา กฐินํ อตฺถริตพฺพํ ฯ
มีผู้เสนอหลักฐานว่า ข้อความที่ว่า --
ปุริมิกาย อุปคตานมฺปน สพฺเพ ปจฺฉิมิกา คณปูรกา โหนฺติ
แปลว่า - และภิกษุทั้งปวงผู้เข้าพรรษาหลังเป็นคณปูรกะของภิกษุผู้เข้าพรรษาต้นก็ได้
อรรถกถาของบางสำนักไม่มีคำว่า “ปจฺฉิมิกา” คือข้อความเป็น --
ปุริมิกาย อุปคตานมฺปน สพฺเพ คณปูรกา โหนฺติ
แปลว่า - และภิกษุทั้งปวงเป็นคณปูรกะของภิกษุผู้เข้าพรรษาต้นก็ได้
ดังนี้จะเห็นได้ว่า ความหมายต่างกัน กล่าวคือ ถ้าไม่มีคำว่า “ปจฺฉิมิกา” ความหมายก็จะเป็นว่า ภิกษุทั้งหมดสามารถนิมนต์มาเพื่อให้ครบ ๕ รูปแล้วรับกฐินได้
กรณีไม่มีคำว่า “ปจฺฉิมิกา” นี่แหละ เป็นเหตุให้มีผู้ตีความว่า ภิกษุทั้งหมด-จะเป็นภิกษุที่มาจากวัดไหนๆ ก็ตาม-สามารถนิมนต์มาเพื่อให้ครบ ๕ รูปแล้วรับกฐินได้
ถ้าดูประโยคภาษาบาลีให้ชัดๆ จะเห็นว่า ข้อความตอนนี้ในคัมภีร์ท่านกำลังพูดถึงกรณีพระที่มีสิทธิ์และไม่มีสิทธิ์รับกฐิน
กรณีพระที่ไม่มีสิทธิ์รับกฐินท่านก็บอกว่า คือพระเช่นไรบ้าง แล้วก็ระบุไว้ชัดเจนว่า-พระที่จำพรรษาวัดอื่นด้วย (ดูคำสรุปข้อ ๔ ข้างต้น)
ท่านจะขัดขาตัวเองทำไมว่า-เอาภิกษุจากวัดอื่นมาเป็นคณปูรกะได้ ในเมื่อข้างต้นโน้นท่านบอกไว้เองว่า “แม้ภิกษุที่จำพรรษาในวัดอื่นก็ไม่ได้”
---------------------
ขอเรียนเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ประเด็นทั้งปวงที่เขียนมานี้ ท่านผู้ใดจะเห็นแย้งเป็นอย่างอื่น กรุณาไปแย้งกับพระคัมภีร์
อย่ามาทะเลาะกับผม
ผมไม่ใช่เจ้าของความคิดเห็น
ผมเป็นเพียงอัญเชิญพระคัมภีร์มาให้ศึกษากันเท่านั้น
และขอย้ำว่า
การศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง
เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาพระศาสนา
..........................................
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
๘ ตุลาคม ๒๕๖๑

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

มงคลสูตร


เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ อะถะโข อัญญะตะรา เทวะตา อะภิกกันตายะ รัตติยา อะภิกกันตะวัณณา เกวะละกัปปัง เชตะวะนัง โอภาเสตวา เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิตวา ภะคะวันตัง อะภิวาเทตวา เอกะมันตัง อัฏฐาสิ ฯ เอกะมันตัง ฐิตา โข สา เทวะตา ภะคะวันตัง คาถายะ อัชฌะภาสิฯ
พะหู เทวา มะนุสสา จะมังคะลานิ อะจินตะยุง
อากังขะมานา โสตถานังพรูหิ มังคะละมุตตะมังฯ
อะเสวะนา จะ พาลานังปัณฑิตานัญจะ เสวะนา
ปูชา จะ ปูชะนียานังเอตัมมังคะละมุตตะมัง
ปะฏิรูปะเทสะวาโส จะปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา
อัตตะสัมมาปะณิธิ จะเอตัมมังคะละมุตตะมัง
พาหุสัจจัญจะ สิปปัญจะวินะโย จะ สุสิกขิโต
สุภาสิตา จะ ยา วาจาเอตัมมังคะละมุตตะมัง
มาตาปิตุอุปัฏฐานังปุตตะ ทารัสสะ สังคะโห
อะนากุลา จะ กัมมันตาเอตัมมังคะละมุตตะมัง
ทานัญจะ ธัมมะจะริยา จะญาตะกานัญจะ สังคะโห
อะนะวัชชานิ กัมมานิเอตัมมังคะละมุตตะมัง
อาระตี วิระติ ปาปามัชชะปานา จะ สังยะโม
อัปปะมาโท จะ ธัมเมสุเอตัมมังคะละมุตตะมัง
คาระโว จะ นิวาโต จะสันตุฏฐิ จะ กะตัญญุตา
กาเลนนะ ธัมมัสสะวะนังเอตัมมังคะละมุตตะมัง
ขันตี จะ โสวะจัสสะตาสะมะณานัญจะ ทัสสะนัง
กาเลนนะ ธัมมะสากัจฉาเอตัมมังคะละมุตตะมัง
ตะโป จะ พรัหมะจะริยัญจะอะริยะสัจจานะ ทัสสะนัง
นิพานะสัจฉิกิริยา จะเอตัมมังคะละมุตตะมัง
ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิจิตตัง ยัสสะ นะ กัมปะติ
อะโสกัง วิระชัง เขมังเอตัมมังคะละมุตตะมัง
เอตาทิสานิ กัตะวานะสัพพัตถะมะปะราชิตา
สัพพัตถะ โสตถิง คัจฉันติตันเตสัง มังคะละมุตตะมันติ

ความหมาย


[๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไปเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
[๖] เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้พากันคิดมงคลทั้งหลาย ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล
พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า
  • การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ ความเป็นผู้มีบุญอันกระทำแล้วในกาลก่อน ๑ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • พาหุสัจจะ ๑ ศิลป ๑ วินัยที่ศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาสุภาสิต ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • การบำรุงมารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรภรรยา ๑ การงานอันไม่อากูล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • ทาน ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติ ๑ กรรมอันไม่มีโทษ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • การงดการเว้นจากบาป ๑ ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • ความเคารพ ๑ ความประพฤติถ่อมตน ๑ ความสันโดษ ๑ ความกตัญญู ๑ การฟังธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การได้เห็นสมณะทั้งหลาย ๑ การสนทนาธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • ความเพียร ๑ พรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจ ๑ การกระทำนิพพานให้แจ้ง ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
  • จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ๑ ไม่เศร้าโศก ๑ ปราศจากธุลี ๑ เป็นจิตเกษม ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน นี้เป็นอุดมมงคลของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ

หมายเหตุ - คัดจากพระไตรปิฏก ฉบับมหาสังคายนาสากลนานาชาติ เล่มที่ ๑๘ ขุททกปาฐะ

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร(แปล ฉบับสมบูรณ์)


บทนำ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

:อนุตตะรัง อภิสัมโพธิง สัมพุชฌิตวา ตะถาคะโต
ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง
สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง
ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฎิปัตติ จะ มัชฌิมา
จะตูสวาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง
เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง
นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง
เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เส ฯ

พระตถาคต คือ พระพุทธเจ้า ครั้นได้ตรัสรู้ธรรม ได้แก่ อริยสัจ 4 ซึ่งเป็นธรรมอันสูงสุด ไม่มีธรรมใดที่สูงไปกว่า ได้ทรงแสดงให้เห็นเป็นจักร คือ วงล้อ ประกอบด้วยซี่ 8 ซี่ คือธรรมอันเป็นทางสายกลาง 8 ประการ ซึ่งเป็นทางที่หลีกเว้นการปฏิบัติตนแบบสุดโต่ง 2 คือ หมกหมุ่นในกามคุณ และ ทรมานตนด้วยวิธีการต่างๆ เป็นข้อ ปฏิบัติอันเป็นกลาง ให้เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง ให้บริสุทธิ์จากกิเลส, พวกเราทั้งหลาย จงร่วมกันสวดพระธรรมจักรนั้น ที่พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นธรรมราช ทรงแสดงไว้แล้ว มีชื่อปรากฏว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นพระสูตรที่ประกาศให้ทราบถึงการที่พระองค์ ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งพระสงฆ์ผู้ทรงไว้ซึ่งความรู้ทั้งหลาย ได้ร้อยกรองไว้โดยทำเป็นบทสวดมนต์ที่ถูกต้องตามหลักบาลีไวยากรณ์ เทอญฯ

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

เอวัมเม สุตังฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ
ข้าพเจ้า (คือพระอานนท์) ได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีในเวลานั้น พระองค์ได้ตรัสเตือนพระภิกษุเบญจวัคคีย์ว่า
เทวเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ผู้ออกบวชแสวงหาความหลุดพ้น ไม่ควรปฎิบัติตน 2 ประการ คือ (1) การแสวงหาความสุขทางกามคุณ แบบสุดโต่ง ซึ่งทำให้จิตใจต่ำทราม เป็นเรื่องของชาวบ้านที่มีความใคร่ เป็นเรื่องของคนมีกิเลสหนาไม่ใช่เป็นสิ่งประเสริฐ คือ มีแต่จะก่อให้เกิดข้าศึกคือกิเลส ไม่มีสาระประโยชน์อันใด (2) การปฏิบัติตนแบบก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน เป็นสภาวะที่ทนได้ยาก ไม่ใช่สิ่งประเสริฐ คือ มีแต่จะก่อให้เกิดข้าศึก คือ กิเลสไม่มีสาระประโยชน์อันใด ฯ
เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติฯ
กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถา คะเตนะ อะภิสัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะ มายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย หลักปฏิบัติอันเป็น ทางสายกลาง หลีกเลี่ยงจากการปฏิบัติแบบสุดโต่ง ซึ่งเราตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยวดยิ่ง เห็นได้ด้วยตาใน รู้ด้วยญาณภายใน เป็นไปเพื่อความสงบกิเลส เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้อย่างทั่วถึง เพื่อความดับกิเลสและกองทุกข์ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ 8 คือ (1) ความเห็นชอบ (2) ความดำริชอบ (3) วาจาชอบ (4) การงานชอบ (5) เลี้ยงชีวิตชอบ (6) ความเพียรชอบ (7) ความระลึกชอบ (8) ความตั้งจิตชอบ
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะ เตนะ อะภิ สัมพุทธา จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
ภิกษุทั้งหลาย ทุกขอริยสัจ คือ ความจริงที่ช่วยมนุษย์ให้เป็นผู้ประเสริฐเกี่ยวกับการพิจารณาเห็นทุกข์ เป็นอย่างนี้ คือ การเข้าใจว่า "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" ล้วนแต่ เป็นทุกข์ แม้แต่ความโศรกเศร้าเสียใจ ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กายทุกข์ใจ ทั้งความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปราถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ การยึดมั่นแบบฝังใจ ว่า เบญจขันธ์ (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ว่าเป็น อัตตา เป็นตัวเรา เป็นเหตุทำให้เกิดความทุกข์แท้จริง
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุมะโย อะริยะสัจจัง ฯ ยายัง ตัณหา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัตระ ตัตราภิ นันทินี ฯ เสยยะถีทัง ฯ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เหตุทำให้เกิดความทุกข์ (สมุทัย) มีอย่างนี้ คือ ความอยากเกินควร ที่เรียกว่า ทะยานอยาก ทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นไปด้วยความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน มัวเพลิดเพลินอย่างหลงระเริงในสิ่งที่ก่อให้เกิดความกำหนัดรักใคร่นั้นๆ ได้แก่
(1) ความทะยานอยากในสิ่งที่ก่อให้เกิดความใคร่
(2) ความทะยานอยากในความอยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่
(3) ความทะยานอยากในความที่จะพ้นจากภาวะที่ไม่อยากเป็๋น เช่น ไม่อยากจะเป็นคนไร้เกียรติ ไร้ยศ เป็นต้น อยากจะดับสูญไปเลย ถ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนี้
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจังฯ โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะ นิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย ฯ
ภิกษุทั้งหลาย นิโรธ คือ ความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ ดับความกำหนัดอย่างสิ้นเชิง มิให้ตัณหาเหลือยู่ สละตัณหา ปล่อยวางตัณหาข้ามพ้นจากตัณหา ไม่มีเยื่อใยในตัณหา
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะ สัจจัง ฯ
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค ฯ เสยยะถีทัง ฯ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมา อาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ทุกขโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ คือ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ อริยมรรคมีองค์ 8 ได้แก่ (1) ความเห็นชอบ (2) ความดำริชอบ (3) วาจาชอบ (4) การงานชอบ (5) เลี้ยงชีวิตชอบ (6) ความเพียรชอบ (7) ความระลึกชอบ (8) ความตั้งจิตมั่นชอบ
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้ เป็นทุกขอริยสัจจ เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลายที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็นทุกขอริยสัจ เราได้กำหนดรู้แล้ว
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทมะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ
ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็นทุกสมุทัยอริยสัจ เป็นสิ่งที่ควรละ ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็นทุกขสมุทัยอริยสัจเราละได้แล้ว
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง
อุทะปาทิ ฯ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจจิกะตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ
ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็น ทุกขนิโรธอริยสัจ เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่าเป็น ทุกขนิโรธอริยสัจ เราได้ทำให้แจ้งแล้ว
อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย ดวงตาเห็นธรรม ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่านี้เป็น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เป็นสิ่งที่ควรเจริญ ภิกษุทั้งหลาย (บัดนี้) เราได้ดวงตาเห็นธรรม เกิดญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง อย่างแจ่มแจ้งในธรรมทั้งหลาย ที่เรายังไม่ได้เคยรับฟังมาในกาลก่อน ว่าเป็น ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ เราได้เจริญแล้ว
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดการหยั่งรู้ การเห็นตามความเป็นจริง ว่าอริยสัจ 4 มี 3 รอบ มีอาการ 12 (ได้แก่ 1. หยั่งรู้อริยสัจ แต่ละอย่างตามความเป็นจริง 2. หยั่งรู้กิจของอริยสัจ 3. หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้ว ในอริยสัจ) ยังไม่หมดจดเพียงใด
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะ พราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เรายืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง ไม่มีใครจะเทียบได้ ไม่ว่าจะเป็นเทวดา มาร พรหม แม้มวลมนุษย์ ทั้งที่เป็นสมณะเป็นพราหมณ์ ก็เทียบเท่ามิได้เพียงนั้น
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ ฯ
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง ฯ
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดการหยั่งรู้ การเห็นตามความเป็นจริงดังกล่าวมาหมดจดดีแล้ว เมื่อนั้นเราได้ยืนยันตนเป็นผู้ตรัสรู้ชอบดังกล่าวแล้ว เช่นนั้น
ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ อะกุปปา เม วิมุตติ อะยะมันติมา ชาติ นัตถิทานิปุ นัพภะโวติ ฯ
การหยั่งรู้ การเห็นตามความเป็นจริงได้เกิดขึ้นแก่เราแล้วว่า ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกลับกำเริบอีกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
อิทะมะโว จะ ภะคะวาฯ อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง ฯ
ครั้นพระพุทธองค์ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณได้แสดงธรรมโดยปริยายดังกล่าวมา เหล่าภิกษูเบญจวัคคีย์ ก็ได้มีใจยินดีเพลินในการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
อิมัสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิ ภัญญะมาเน อายัส มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ ยังกิญจิ สุมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ ฯ
ก็แล เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรมอย่างแจ่มแจ้งอย่างมีหลัก ท่านโกณทัญญะ ผู้ทรงไว้ซึ่งอาวุโส ได้เกิดธรรมจักษุ คือ ได้รู้แจ้งเห็นจริงซึ่งพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดง กำจัดธุลี กำจัดมลทินเสียได้ มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่ สิ่งใดเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา เพราะสิ้นเหตุปัจจัย
ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย
อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิวา โลกัสมินติ ฯ
ครั้นพระพุทธองค์ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ ได้แสดงธรรมจักร คือ หมุนวงล้อแห่งธรรมที่ประกอบด้วย 8 ซี่ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 เหล่าภุมเทวดา ก็เปล่งเสียงสาธุการบันลือลั่นว่า วงล้อแห่งธรรม ไม่มีวงล้ออื่นใดจะหมุนสู้ได้ ได้รับการหมุนไปโดยพระพุทธเจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณแล้ว ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี ซึ่งไม่มีใครทำได้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม
ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ยามานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พรัหมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พรัหมะปะริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
พรัหมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ พรัหมะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
มะหาพรัหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ มะหาพรัหมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุง ฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
ปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุภะกิณหะกา เทวา สัททะ มะนุสสาเวสุงฯ สุภะกิณหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
เวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุง ฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา
สุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตวา
อะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง ฯ
เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง อัปปะฏิ วัตติยัง สะมะเณนะ วา พราหมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พรัหมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินติ ฯ
เหล่าเทพเจ้าชั้นจาตุมมหาราชิกา ครั้นได้ยินเสียงเหล่าเทพภุมเทวดาต่างก็ส่งเสียงสาธุการ บันลือลั่นสืบต่อไปจนถึงเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามะ ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี จนกระทั่งถึงชั้นพรหม ตั้งแต่พรหมปาริสัชชา พรหมปโรหิตา มหาพรหม ปริตตาภาพรหม อัปมาณาภาพรหม อาภัสสราพรหม ปริตตสุภาพรหม อัปปมาณสุภาพรหม สุภกิณหกาพรหม เวหัปผลาพรหม อวิหาพรหม อตัปปาพรหม สุทัสสาพรหม สุทัสสีพรหม จนกระทั่งถึงอกนิฎฐกาพรหมเป็นที่สุด ก็ส่งเสียงสาธุการบันลือลั่น เพียงครู่เดียว เสียงได้บันลือไปทั่วพรหมโลก
อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ ยาวะ พรัหมะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิฯ อะยันจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ สังกัมปิ
สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิฯ อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง ฯ
ทั้งหมื่นโลกธาตุได้หวั่นไหว สะเทือนสะท้าน เสียงดังสนั่นลั่นไป ทั้งแสงสว่างอันหาประมาณมิได้ ได้ปรากฏขึ้นในโลก เหนือกว่าอานุภาพของเหล่าพรหม
อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ อิติหิทัง อายัสมะโต
โกณฑัญญัสสะ อัญญาโกณฑัญโญ เตววะ นามัง อะโหสีติ ฯ
ต่อจากนั้นพระพุทธองค์ ผู้ทรงไว้ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณ ได้ทรงเปล่งอุทานออกมาว่า "โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญทั้งหลาย โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญทั้งหลาย" เพราะเหตุนี้ ท่านโกณฑัญญะจึงได้นามว่าอัญญาโกณฑัญญะ



จบ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร